วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2559

น้องหมาก็คือยารักษาโรค

การบำบัดด้วยสัตว์

Animal Therapy



             มีการนำสัตว์มาร่วมในโปรแกรมการบำบัดรักษาผู้ป่วยอยู่หลายแบบ สัตว์ที่นิยมนำมาใช้กันมาก ได้แก่ โลมา ม้า สุนัข และแมว เป็นต้น โดยต้องมีการคัดเลือกและฝึกฝนสัตว์มาเป็นอย่างดี พบว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ

            สัตว์เลี้ยงบำบัด (pet therapy) นับเป็นรูปแบบหนึ่งของการบำบัดด้วยสัตว์ (animal therapy) ซึ่งมีงานวิจัยรองรับมากพอสมควรว่าได้ผลดี โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ ช่วยเยียวยาด้านจิตใจเป็นอย่างดี

             สำหรับในเด็กที่ถูกทอดทิ้งหรือทารุณกรรม ก็พบว่าสัตว์เลี้ยงสามารถช่วยเยียวยาจิตใจได้ดีมาก ให้ทั้งความรู้สึกที่ปลอดภัยขึ้น ได้รับความรักโดยไม่มีเงื่อนไข และเด็กยังสามารถสื่อสารกับสัตว์เลี้ยงได้อีกด้วย



แนวคิดของการบำบัดด้วยสัตว์

พบว่าสัตว์สามารถช่วยในเรื่อง การรับรู้สัมผัส เสริมสร้างสมาธิ เพิ่มความไว้วางใจผู้อื่น ให้สัมผัสที่อบอุ่น ปลอดภัย และเป็นมิตร เพิ่มแรงจูงใจในการทำกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังช่วยให้เด็กเรียนรู้ในเรื่องสัมพันธภาพ และการตอบสนองทางอารมณ์ได้ดีขึ้นด้วย

สัตว์ที่นำมาใช้ในการบำบัดส่วนใหญ่มักเป็นสัตว์เลี้ยง ซึ่งมนุษย์คุ้นเคยเป็นอย่างดี เช่น สุนัข แมว กระต่าย นก ปลา เป็นต้น หรือเป็นสัตว์ใหญ่ที่เป็นมิตรกับมนุษย์เสมอในความรู้สึก เช่น โลมา ม้า ช้าง เป็นต้น

สัตว์ที่นำมาใช้ในการบำบัดมักเป็นสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ มากกว่า เนื่องจากสามารถอุ้มได้ง่าย และเหมาะสมกับบ้านพักอาศัยที่มีพื้นที่ไม่มากนัก แต่สุนัขตัวใหญ่ๆ ก็เหมาะสมสำหรับผู้ที่นั่งอยู่บนรถเข็นเช่นกัน และสัตว์บางชนิดก็จำเป็นต้องใช้ในการบำบัดนอกสถานที่พักอาศัย เช่น โลมาบำบัด อาชาบำบัด เป็นต้น

เพื่อที่จะสร้างความผูกพันกับสัตว์ได้ เราจำเป็นที่จะต้องก้าวออกจากโลกของตัวเอง และพยายามที่จะสื่อสารกับผู้อื่น ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการบำบัดรักษา ในขณะที่สัตว์เองก็มีความสามารถในการกระตุ้นให้เกิดสิ่งเหล่านี้ง่ายขึ้น อย่างน้อยที่สุดก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ช่วงหนึ่งที่ทำให้เราสนใจสิ่งอื่นนอกจากตัวเราเอง จึงเป็นส่วนผสมที่ลงตัวยิ่งในการบำบัดด้วยสัตว์      


สุนัขบำบัด

Dog Therapy


 
 
   
       สุนัขบำบัด หรือการนำสุนัขมาช่วยในการบำบัด สามารถช่วยได้ทั้งเรื่องของร่างกายและจิตใจ

การบำบัดทางร่างกาย สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต โดยหลักการทั่วไปของกายภาพบำบัด จำเป็นต้องมีการบริหารกล้ามเนื้อ ซึ่งการมีสุนัขร่วมทำกิจกรรมด้วย จะทำให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกเบื่อหน่ายและสามารถออกกำลังได้นานขึ้น

สุนัขสามารถเข้ามาช่วยให้มีการขยับแขนหรือขาเพิ่มขึ้น โดยการโยนของไปแล้วให้สุนัขวิ่งไปคาบกลับมา การลูบคลำ หรือการแปรงขนสุนัขก็เป็นการออกกำลังกายแขนอย่างหนึ่ง

การบำบัดทางจิตใจ โดยการนำสุนัขไปแสดงโชว์ความน่ารักให้ผู้สูงอายุหรือเด็กดู เพื่อช่วยให้คลายความเหงาลงได้ และการเลี้ยงสุนัขยังช่วยลดอาการซึมเศร้าลงได้อีกด้วย

นอกจากนี้ยังสามารถจัดเป็นโปรแกรมการบำบัดโดยตรง โดยมีเป้าหมายและระยะเวลาที่ชัดเจน เพื่อปรับเปลี่ยนมุมมองความคิดของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่มีต่อตนเอง และคนรอบข้าง ให้เป็นเชิงบวกมากขึ้น

สุนัขที่นำมาบำบัดควรเลือกพันธุ์ที่มีความคล่องตัว มีการตอบสนองต่อคนค่อนข้างดี เช่น สุนัขพันธุ์ “ลาบราดอร์” หรือ “โกลเด้นท์รีทรีฟเวอร์” ซึ่งจะพบว่าในต่างประเทศนิยมนำสุนัข 2 พันธุ์นี้มาช่วยในการบำบัดผู้ป่วยมากที่สุด



ขอบคุณข้อมูลจาก

http://www.dogilike.com/


น้องหมาสายพันธุ์สกั้ง

น้องหมาที่มีกลิ่นตัวแรงมากที่สุด

    


     “กลิ่น”  เป็นการสื่อสารที่สำคัญที่สุดของสุนัข พวกเขาทำความรู้จักกัน จดจำกันได้ ก็จากกลิ่นตัวของอีกฝ่าย ซึ่งแน่นอนค่ะว่า กลิ่นตัวสุนัขแต่ละตัวย่อมมีกลิ่นที่แตกต่างกัน บ้างขึ้นอยู่กับสภาพผิว ความสะอาดของขน ของหู การระบายความร้อนของต่อมเหงื่อ บ้างขึ้นอยู่กับอาหารการกิน สภาพสิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัย สุนัขที่ได้กลิ่นจะสามารถรับรู้ได้ว่าบริเวณ หรือ สภาพแวดล้อมที่สุนัขอีกตัวอยู่เป็นอย่างไร 

     แต่มีอีกสาเหตุหนึ่งค่ะ ที่ทำให้สุนัขมีกลิ่นตัวแรง แม้จะเพิ่งอาบน้ำเสร็จก็ตาม นั่นก็คือ กลิ่นตัวที่ติดมากับสายพันธุ์ของพวกเขา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งสาบ ทั้งฉุน ทั้งอับ กลิ่นตัวแรงยากจัดการ แล้วถ้าคิดจะเลี้ยง ก็ต้องทำใจนะคะ บ้านมีกลิ่นแน่นอน



1. บาสเซ็ต ฮาวนด์ (Basset Hound)


     บาสเซ็ต ฮาวนด์ มีรูปร่างเตี้ย ตัน ตัวยาว หูยาว หน้าย่น ตัวย่น จึงมีร่องพับตามลำตัวเป็นจำนวนมาก ยิ่งถ้าได้รับการดูแลทำความสะอาดไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดความอับชื้นที่ผิวหนังตามรอยย่น เกิดเป็นเชื้อรา หูไม่ได้ทำความความสะอาด ปล่อยให้อับชื้นก็อาจนำไปสู่การเกิดเชื้อราและการอับเสบ ส่งผลให้เกิดกลิ่นเหม็นมากยิ่งขึ้นนั่นเองค่ะ ตามปกติของสายพันธุ์นี้ พวกเขาจะมีโรคประจำสายพันธุ์เป็นโรคผิวหนังอยู่แล้ว ผู้เลี้ยงจึงควรดูแลสภาพผิวเป็นพิเศษ



2. ค็อกเกอร์ สเปเนียล (Cocker Spaniel )


     สุนัขหูยาว ขนหยักศกสลวย เหมือนกับใส่วิกผมลอนอย่างค็อกเกอร์ สเปเนียล ก็ขึ้นชื่อเรื่องกลิ่นไม่น้อยหน้าไปกว่าบาสเซ็ต ฮาวนด์ เนื่องจากมีหูที่ยาว ขนที่ยาว ง่ายต่อการอับชื้นและติดเชื้อ จึงจำเป็นต้องได้รับการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ และเป็นอย่างดีเพื่อป้องกันการเกิดกลิ่น ซึ่งนอกจากกลิ่นที่มาจากหูแล้ว พวกเขายังมีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง มีแนวโน้มทำให้เกิดการแพ้ได้ง่าย ตกสะเก็ด เป็นเชื้อราที่ผิว เกิดการติดเชื้อ การอักเสบของผิวหนัง อันนำมาซึ่งกลิ่นไม่พึงประสงค์  ดังนั้น ผู้เลี้ยงจึงควรใช้แชมพูที่อ่อนโยนต่อผิวหนัง เป่าขนให้แห้งทุกครั้งหลังการอาบน้ำ



3. บีเกิ้ล (Beagle)

     
      สุนัขบีเกิ้ลสุดแสบมีกลิ่นเฉพาะตัวกับเขาอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ก็ไม่มากถึงขนาดฉุนกึก มีกลิ่นสาปแรงเมื่อเทียบกับค็อกเกอร์ สเปเนียล ทว่าเมื่อใดที่ผิวหนังของพวกเขาแห้งกร้าน เกิดอาการคันจนพวกเขาต้องเกา ถูกไถ จนเป็นแผลอักเสบ ก็จะยิ่งขับกลิ่นให้แรงมากขึ้นไปอีกเท่าตัวนอกจากปัญหาผิวหนังที่ทำให้เกิดกลิ่นแล้ว กลิ่นหูของบีเกิ้ลก็แรงอยู่ไม่ใช่น้อย เพราะพวกเขามีหูที่ค่อนข้างใหญ่ ยาว พับตก ก่อให้เกิดการอับชื้น สะสมแบคทีเรีย และเชื้อรา นำไปสู่การติดเชื้อในหูได้ ดังนั้นผู้เลี้ยงจึงควรทำความสะอาดหูของพวกเขาเป็นประจำอย่างน้อยทุกสัปดาห์ เพื่อช่วยลดความแรงของกลิ่นตัว



4. ปั๊ก (Pug)


     แค่เห็นหน้าสุนัขปั๊กก็รู้ทันทีเลยว่าเข้าข่ายสุนัขมีกลิ่นตัว เพราะตัวค่อนข้างกลมตันดูอ้วน มีรอยย่นยับบนใบหน้าเสี่ยวต่อการสะสมเชื้อรา ความอับชื้น หน้าสั้นเปรอะเปื้อน เปียกชื้นได้ง่าย ทำให้เกิดกลิ่นอับ ผิวแห้ง ขนสั้นหยาบ มีโอกาสนำไปสู่ผื่นแพ้คันการอักเสบ และ หูพับตก เกิดการอับชื้นได้ ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ที่เลี้ยงสุนัขปั๊กจึงจำเป็นที่จะต้องคอยดูแลทำความสะอาดพวกเขาเป็นอย่างดีไม่ให้บริเวณใบหน้าเปรอะเปื้อน เช็ดร่องผิวหนังให้แห้งหนังการอาบน้ำ ไปพบสัตวแพทย์เมื่อเห็นว่าผิวหนังมีการติดเชื้อนะคะ ซึ่งนอกจากกลิ่นตัวที่สุนัขปั๊กมีปัญหาแล้ว...จริงๆ ก็ยังมีกลิ่นตดอีกด้วนะคะ ผู้เลี้ยงควรระมัดระวังเรื่องการกิน ให้กินแต่พอประมาณ หลีกเลี่ยงอาหาร ขนมที่ย่อยยาก ฝึกให้กินอย่างช้าๆ เพื่อจะได้ไม่ทำให้เกิดก๊าซ   



5. บลัดฮาวนด์ (Bloodhound)


     บลัดฮาวนด์หนึ่งในสุนัขที่จมูกดีมากที่สุดในโลก พวกเขามีประสาทสัมผัสการดมกลิ่นที่ยอดเยี่ยม... เช่นเดียวกับกลิ่นตัวที่แรงยอดเยี่ยมไม่แพ้กันค่ะ เพราะพวกเขามีหูที่ใหญ่ยาว ไปจนถึงลำคอ ส่งผลให้เกิดกลิ่นตัวอับชื้นจากน้ำมันบนเส้นขนได้ง่าย มีโอกาสหูติดเชื้อสูง นอกจากนี้พวกเขายังมีใบหน้าที่ย่น ย้อย มีน้ำลายและเศษอาหารเลอะเขรอะอยู่รอบปาก ส่งให้เกิดกลิ่งหมักหมมสะสม ส่วนผิวหนังที่หน้าอกก็พับย่นเป็นร่องส่งผลให้เกิดการสะสมแบคทีเรียหรือ เชื้อราได้หากไม่เช็ดทำความสะอาดให้แห้งหลังอาบน้ำ ซึ่งสาเหตุต่างๆ นี้เองที่ทำให้พวกเขามีกลิ่นตัวแรง จึงเป็นหน้าที่ของผู้เลี้ยงที่จะคอยดูแลร่างกายของพวกเขาให้สบายอยู่เสมอนะคะ   



6. ยอร์คเชียร์ เทอร์เรียร์ (Yorkshire Terrier)


     ไม่น่าเชื่อว่าสุนัขตัวเล็กขนบางยาวอย่างยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย ก็ติดอันดับสุนัขมีกลิ่นตัวแรงกับเขาเหมือนกัน นั่นก็เพราะขนของยอร์คเชียร์ เทอร์เรียร์มีน้ำมันอยู่ค่อนข้างมาก มีขนบริเวณหูค่อนข้างมักจึงกักเก็บความชื้น เชื้อรา แบคทีเรียต่างๆ เช่นเดียวกับขนรอบปากที่ยาว สะสมสิ่งสกปรกได้ง่าย ผิวหนังค่อนข้างแพ้ง่าย จึงเกิดผดผื่น แผลอักเสบ อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่น เท่านั้นยังไม่พอ พวกเขามักมีโรคฟันผุเป็นโรคประจำสายพันธุ์ และมีต่อมก้นที่คอยส่งกลิ่นเฉพาะตัวเพื่อใช้ในการสื่อสารอีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจที่ยอร์คเชียร์ เทอร์เรียร์ตัวเล็กๆ จะมีกลิ่นแรงไม่น้อยหน้าใคร 



7. อิงลิช บูลด็อก (English Bulldog)


     อิงลิช บูลด็อก ต้องหมาหน้าสั้น ตัวย่น มักมีปัญหาผิวหนัง ที่ทำให้เกิดกลิ่นที่ขน หูพับตกสะสมแบคทีเรียและเชื้อราต่างๆ ได้ง่าย ผู้เลี้ยงจึงควรดูแลทำความสะอาดโดยการเช็ดขนให้แห้งหลังอาบน้ำ ทำความสะอาดหูเป็นประจำทุกสัปดาห์ ทำความสะอาดร่องผิวหนังที่ย่นเพื่อไม่ให้เกิดการหมักหมมของแบคทีเรียและเชื้อรา เพียงเท่านี้ก็จะช่วยลดกลิ่นของพวกเขาให้เบาบางลงได้



8. ชาเป่ย (Chinese Shar Pei)


  ชาเป่ยสุนัขตัวย่นทั้ง หูตก ผิวบอบบาง แห้ง แพ้ง่าย หน้าค่อนข้างสั้น เข้าข่ายทุกประเด็นไม่มีทางรอดว่าเป็น 1 ในสายพันธุ์สุนัขที่มีกลิ่นตัวแรง ผู้ที่คิดจะเลี้ยงต้องทำใจกับกลิ่นตัวที่จะซ่อนอยู่ตามร่องผิวหนังที่ยับย่น ซึ่งถ้าไม่ได้รับการดูแลอย่างดีก็จะยิ่งทวีกลิ่นตัวของพวกเขาให้แรงมากขึ้น



9. บ็อกเซอร์ (Boxer)


     บ็อกเซอร์เป็นสุนัขที่ปกติมีกลิ่นตัวแรงอยู่แล้ว เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าเห็บมากๆ พวกเขามีขนที่สั้นก็จริง แต่มักมีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง เกิดอาการแพ้ ตกสะเก็ด คันจนเป็นแผลอักเสบ หูอับชื้นมีกลิ่น มีเชื้อราเกิดขึ้นได้ง่ายถ้าไม่ทำความสะอาดเป็นอย่างดี นอกจากนี้พวกเขายังมีใบหน้าที่สั้นเล็กน้อย และย่น จึงเปรอะเปื้อนเศษอาหาร น้ำดื่ม ทำให้เกิดความอับชื้น นอกจากนี้พวกเขายังเป็นสุนัขที่ชอบตด ปล่อยกลิ่นออกมาคละคลุ้งผสมกลิ่นตัวอยู่เรื่อยๆ จนกลายเป็นกลิ่นประจำตัวนั่นเอง 



10. เซ็นต์ เบอร์นาร์ด (Saint Bernard)


     เซ็นต์ เบอร์นาร์ดน้ำลายยืดไหลเปรอะเปื้อนรอบปาก รอบขนหนาๆ บนหน้าอก  อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เจ้ายักษ์ใหญ่เซ็นต์ เบอร์นาร์ด นอกจากนี้ ยังมีปัญหาจากโรคผิวหนัง กลิ่นตด กลิ่นหู กลิ่นขนที่อับชื้น ยิ่งถ้าไม่อาบน้ำทำความสะอาด เป่าขนให้แห้งแล้วล่ะก็ เหม็นจนไม่อยากให้เข้าบ้านเลยค่ะ 




      ปัญหากลิ่นตัวของน้องหมาเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ และอาจมีกลิ่นไปติดกับเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านได้อีกด้วย เช่น โซฟา ผ้าม่าน พรม ซึ่งอาจทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ระหว่างวันที่เราอาจจะต้องรับแขก โดยสามารถแก้ปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์ได้โดยใช้ผลิตภัณฑ์ขจัดกลิ่นบนผ้าอย่างแอมบิเพอร์ ที่มีให้เลือกถึง 3 สูตร ลองมองหาผลิตภัณฑ์นี้ได้จากแผนกผลิตภัณฑ์ซักผ้า เพื่อแก้ปัญหากลิ่นที่มาจากตัวของน้องหมาพร้อมทั้งคืนกลิ่นหอมสดชื่นให้กับบรรยากาศภายในห้องรับแขกหรือห้องนั่งเล่นในบ้านเพื่อให้เรากับน้องหมาอยู่ด้วยกันอย่างสบายใจ ไร้กลิ่นกวนใจได้อีกด้วย




ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.dogilike.com/

ทำไมน้องหมาถึงมีกลิ่นตัว

รู้หรือไม่ ต่อมปล่อยกลิ่นของสุนัขอยู่บริเวณไหนบ้าง?

   


        กลิ่นตัวของน้องหมาเป็นปัญหากวนใจอันดับต้นๆ สำหรับคนที่เลี้ยงสุนัขไว้ในบ้าน หรือพาสุนัขขึ้นรถ หลายคนจัดการแก้ปัญหาด้วยการอาบน้ำให้พวกเขาเป็นประจำทุกสัปดาห์ แต่ทว่ากลิ่นตัวก็มักกลับมาอีกหลังจากอาบน้ำเสร็จได้ไม่นาน แถมยังทิ้งกลิ่นติดไว้บนโซฟา เตียง ที่นอนให้หนักใจ โดยกลิ่นที่ติดตามเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้เราสามารถกำจัดได้โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ขจัดกลิ่นบนผ้า แอมบิเพอร์ สูตร แอนตี้ แบคทีเรีย  เพื่อขจัดกลิ่นที่เกิดจากแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็น ทำให้บ้านหอมสดชื่นและหมดปัญหากลิ่นน้องหมากวนใจได้นะคะ

     และนอกเหนือจากกลิ่นต่างๆ ข้างต้นแล้ว ผู้เลี้ยงหลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าสุนัขยังมีจุดต่างๆ ตามร่างกายที่เป็นแหล่งเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์อีกด้วย จะมีอะไรบ้างไปติดตามกันค่ะ



1.จุดเกิดกลิ่นบริเวณต่อมก้นของสุนัข

     โดยปกติแล้ว สุนัขทุกตัวทุกสายพันธุ์จะมีต่อมก้น หรือต่อมเหม็นข้างทวารหนักของสุนัข (Anal Sacs) นะคะ ต่อมก้นของสุนัขนี้จะมีรูปร่างรีเป็นถุง 2 ข้างบริเวณใต้ผิวหนังข้างรูทวารหนัก ซึ่งไม่สามารถมองเห็นจากภายนอกได้ ภายในต่อมก้นจะเก็บของเหลวที่มีลักษณะเหนียวข้น กลิ่นเหม็นคาวฉุนเอาไว้ หากสุนัขเกิดความกลัว ตกใจก็จะขับของเหลวที่อยู่ภายในออกมาส่งกลิ่นเหม็น ซึ่งความผิดปกติของต่อมก้นมักพบในสุนัขพันธุ์เล็กมากกว่าสุนัขพันธุ์ใหญ่ ได้แก่ ปั๊ก เฟรนช์ บูลด็อก ปอมเมอเรเนียน ชิสุ พุดเดิ้ล เป็นต้น


     วิธีการจัดการ

     ผู้เลี้ยงควรสำรวจและจัดการบีบต่อมก้นให้สุนัขอย่างน้อยเดือนละ 1-2 ครั้ง เพื่อลดโอกาสเสี่ยงของต่อมก้นไม่ให้เกิดการอักเสบ แต่ก็ต้องระวังไม่บีบแรงมากเกินไปนะคะเพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบตามมาได้นั่นเองค่ะ เพียงแค่จับสุนัขให้อยู่นิ่ง สวมถุงมือเพื่อป้องกันของเหลวสุนัขเปื้อนมือ จากนั้นให้ผู้เลี้ยงเช็ดทำความสะอาดบริเวณรอบก้นของสุนัขด้วยทิชชู่ชุบน้ำอุ่น แล้วจึงใช้กระดาษทิชชู่วางแปะบนก้นสุนัข แล้วเอาหัวแม่มือกับนิ้วชี้วางไว้ 2 ข้างของต่อมก้น ค่อยๆ บีบของเหลวออกมาจากต่อมก้นให้หมด เสร็จแล้วก็ต้องไม่ลืมทำความสะอาดก้นสุนัขทุกครั้ง


2.จุดเกิดกลิ่นบริเวณใบหน้าสุนัข   

     จุดเกิดบริเวณใบหน้านั้น ส่วนใหญ่จะเกิดกับสุนัขที่มีใบหน้าสั้น มีรอบพับย่นบนใบหน้าเยอะ ตาโตโปนมีคราบน้ำตา และมีช่วงปากกว้าง ย้วยลงมาง่ายต่อการเปรอะเปื้อนน้ำลาย ซึ่งทั้งรอยพับย่นและคราบน้ำลายนั้นจะมีการหมักหมมของแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของกลิ่นเหม็น ซึ่งอาจส่งผลทำให้ผิวหนังบริเวณนี้เกิดการอักเสบติดเชื้อแบคทีเรียและเกิดเชื้อราได้อีกด้วย

     วิธีการจัดการ

     ผู้เลี้ยงควรทำความสะอาดเช็ดตามร่องรอยย่นพับบนใบหน้าของสุนัขเป็นประจำหลังอาบน้ำเสร็จทุกครั้ง โดยการใช้ผ้าหรือสำลีชุบน้ำ หรือน้ำยาขจัดกลิ่นมาเช็ดร่องรอยย่นของสุนัข รอบกระบอกปาก ใต้คาง และ ใต้คอ โดยเช็ดซ้ำด้วยผ้าหรือสำลีแห้งอีกครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการอับชื้นอันเป็นสาเหตุของเชื้อรา หรือแบคทีเรีย



3. จุดเกิดกลิ่นบริเวณหูของสุนัข

     ในช่องหูของสุนัขเป็นที่หมักหมมสิ่งสกปรก ทั้งเห็บ หมัด ไร ขี้หู ขี้ไคล เชื้อแบคทีเรีย เชื้อยีสต์ เป็นต้น โดยเฉพาะซึ่งสายพันธุ์สุนัขที่หูพับตก หรือ หูยาว อย่าง ค็อกเกอร์ สเปเนียล ปั๊ก บีเกิ้ล .... บอกเลยค่ะว่า เหม็นสุดๆ และถ้าผู้เลี้ยงปล่อยปละละเลยไม่ได้ดูแลอย่างสม่ำเสมออาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ การอักเสบในรูหู และสูญเสียความสามารถในการได้ยินในท้ายที่สุด  

     วิธีการจัดการ

      ให้ผู้เลี้ยงคอยทำความสะอาดเช็ดหูสุนัขหลังอาบน้ำให้แห้งสนิททุกครั้ง ในกรณีที่เป็นสุนัขหูยาวก็อาจจะต้องทำความสะอาดบ่อยมากขึ้นอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งครั้งค่ะ โดยให้ผู้เลี้ยงใส่น้ำยาสำหรับทำความสะอาดหูลงไปในช่องหู บีบนวดบริเวณโคนหูประมาณ 20-30 วินาที จากนั้นใช้สำลีชุบเช็ดช่องหูจนไม่พบว่ามีขี้หูเหลือและต้องแห้งสนิท เพียงเท่านั้นหูของสุนัขสุดรักก็ไร้กลิ่นพึงประสงค์แล้วล่ะค่ะ อย่างไรก็ตาม ถ้าสังเกตว่าหูน้องหมามีกลิ่นเหม็นมากกว่าปกติ มีน้ำในหู หรือ คัน ควรพาสุนัขไปพบแพทย์ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้จนเป็นปัญหาเรื้อรังค่ะ (อ่านเพิ่มเติมบทความ ทำความสะอาดหูให้สุนัข 


4. จุดเกิดกลิ่นบริเวณปากสุนัข

     ปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันของสุนัขเกิดมาจากการสะสมของคราบน้ำลายที่เปรอะตามขนบริเวณแผงคออาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟัน จนเกิดแบคทีเรีย คราบหินปูน และ ฟันผุ หากไม่มีการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างเหมาะสม จะทำให้เกิดกลิ่นปาก ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลหรือรักษากลายเป็นปัญหาเรื้อรังอาจทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อปริทันต์อย่างรุนแรง กรามหัก หรือเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่กระแสเลือดเป็นอันตรายถึงแกชีวิตได้ค่ะ

     วิธีการจัดการ

     ผู้เลี้ยงควรแปรงฟันให้สุนัขเป็นประจำเพื่อชะลอการเกิดคราบหินปูน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นปาก ส่วนยาสีฟันที่ใช้ควรเป็นยาสีฟันสำหรับสุนัขโดยเฉพาะ เพราะไม่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ที่เป็นอันตรายกับสุนัข นอกจากนี้ ควรหาของเล่นที่ช่วยสร้างความแข็งแรงให้แก่เหงือกและฟัน สามารถขัดฟัน ป้องกันคราบหินปูนให้แก่สุนัข และที่สำคัญผู้เลี้ยงควรพาสุนัขไปตรวจสุขภาพช่องปากกับสัตวแพทย์ทุก ๆ 6 เดือนนะคะ หากพบความผิดปกติจะได้รักษาได้ทันท่วงที 





5. จุดเกิดกลิ่นที่ผิวหนังและขน

      ผิวหนัง น้ำมันบนผิว และเส้นขนเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำตัวของสุนัขเกิดกลิ่น ซึ่งกลิ่นตัวนี้จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้นอยู่กับสายพันธุ์อย่างเช่น สุนัขสายพันธุ์เยอรมันเชฟเฟิร์ด บีเกิ้ล บูลด็อก ปั๊ก หรือ แม้แต่ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ จะมีกลิ่นสาบตัวที่ค่อนข้างแรงหากเทียบกับสุนัขสายพันธุ์บางแก้ว ดัลเมเชียน ไซบีเรียน ฮัสกี้ ด้วยเหตุนี้เอง เพียงแค่ขนอับชื้น  มีปัญหาผิวหนังเพียงเล็กๆ น้อยก็อาจทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย

     วิธีการจัดการ

     การเลือกแชมพูสำหรับทำความสะอาดสุนัขกลิ่นตัวแรงควรเลือกแชมพูสูตรสำหรับสุนัขมีกลิ่นสาบโดยเฉพาะ ซึ่งมีส่วนผสมของสารสกัดธรรมชาติที่อ่อนโยนต่อผิวหนังที่บอบบางและช่วยลดกลิ่นตัวของสุนัข ควรอาบอย่างมากสัปดาห์ละครั้งเพียงเท่านั้น ควรเช็ดตัว เป่าขนให้แห้งสนิท ไม่ควรอาบน้ำให้สุนัขบ่อยจนเกินไปเพราะผิวจะแห้งเป็นผื่นคันได้

     เป็นอย่างไรกันบ้างคะ จุดเกิดกลิ่นของสุนัขแต่ละจุดต้องดูแลอย่างดีเลยทีเดียว คลาดไปสักจุดก็อาจทำให้เกิดกลิ่นเหม็นติดตัว ติดเสื้อผ้า ติดฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านได้ ซึ่งถ้าผู้เลี้ยงประสบกับปัญหาดังกล่าวอยู่ ก็ไม่ต้องกังวลนะคะ เพราะสามารถแก้ไขปัญหากลิ่นติดผ้าได้ง่ายๆ โดยการฉีดผลิตภัณฑ์ขจัดกลิ่นบนผ้า แอมบิเพอร์ ซึ่งมีให้เลือกทั้ง 3 สูตรไม่ว่าจะเป็น สูตรแอมบิเพอร์ อาร์คติกา บรีซ สูตรแอมบิเพอร์ บลอสซั่ม แอนด์ บรีซ สูตร แอมบิเพอร์ แอนตี้ แบคทีเรีย ได้ตามความชื่นชอบ โดยสามารถมองหาและซื้อผลิตภัณฑ์นี้ได้จากแผนกผลิตภัณฑ์ซักผ้า เพื่อขจัดกลิ่นที่เกิดจากแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็น เพียงเท่านี้โซฟา ผ้าปูที่นอน หรือ แม้กระทั่งเสื้อผ้าของเราก็หมดปัญหาจากกลิ่นตัวสุนัข และสามารถปล่อยให้พวกเขาในบ้านได้อย่างไร้ปัญหากวนใจค่ะ





ขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.dogilike.com

น้องหมาก็มีเซ็กทอยด้วย




คุณเชื่อหรือไม่ว่าน้องหมาก็มีเซ็กทอยด้วยเหมือนกัน?





                        เชื่อว่าเจ้าของหลายๆ คนคงจะเซ็งกับเจ้าตูบของตัวเอง เมื่อถึงเวลาผสมพันธ์ของมัน ที่พอถึงเวลามันมักจะไปเกาะขา เกาะทุกสิ่งทุกอย่างที่มันจะเกาะได้ ไม่ว่าจะเป็น ขาเพื่อนบ้าน ขาคนที่เดินผ่านสัญจรไปมา จนรู้น่ารำคาญ  ของเล่นทางเพศเอาใจสุนัข ราคาเกือบ 2 หมื่น เจ้าของผลิตภัณฑ์เผย ช่วยลดความรำคาญเมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ หมดปัญญาสัตว์เลี้ยงเกาะขาเพื่อนบ้าน แขกผู้มาเยือน บุรุษไปรษณีย์ รวมถึงขาของเจ้าของสุนัขเอง


รักและแคร์น้องหมาให้ถูกใจเขามากที่สุด



ที่อยู่ที่นอน

สุนัขควรมีที่อยู่ที่นอนเป็นที่เป็นทางแลเป็นสัดเป็นส่วน อาจจะใช้ผ้าเก่า ๆ หรือเศษผ้านุ่ม ๆ หลายๆชั้น
ทำเป็นที่นอนขนาดเล็กใหญ่แล้วแต่ความเหมาะสม ส่วนการรรจะเลี้ยงดูสุนัขกกกไว้ในบ้านหรือไม่นั้นคงแล้วแต่ความพร้อมของสมาชิกในครอบครัว ส่วนใหญ่แล้วหากมันยังเล็กอยู่ก็นิยมเลี้ยงไว่ในบ้านเพื่อคอยดูแลและทำให้มันสนิทสนมกับคนในบ้านได้ง่าย แต่ต้องคอยดูแลเรื่องการขับถ่ายให้เป็นที่เป็นทาง
หากมีบริเวณบ้านมากพอ ควรเลี้ยงไว้นออกบ้าน โดยสร้างกรงที่ขมีขมันความแข็งแรง กว้างขวางตามขนาดของสุนัขควรมีมุ้งกางให้สุนัขด้วย มีหลังคากันแดดกันฝนได้ และมีฝากันลมในทิศทางที่ถูกต้อง บริเวณที่ตั้งกรงควรเลือกเอาที่ร่ม ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่อับชื้น เวลากลางวันต้องมีแสงแดดส่องผ่านเข้าได้บ้างเพื่อฆ่าเชื้อโรคและให้กรงแห้งพื้นกรงควรจะสะดวกในการทำความสะอาด ไม่เป็นที่หมักหมดของสิ่งปฏิกูลต่าง ๆมีที่ระบายของเสียได้สะดวก 



                            

 การตัดหาง

สุนัขบางพันธุ์นิยมตัดหาง ให้เหลือความยาวตามลักษณะในพันธุ์นั้นนิยม ซึ่งก็ควรตัดในขณะที่ยังมีอายยังน้อย ๆ อยู่เพื่อที่จะไม่มีเลือดออกมามาก สุนัขไม่เจ็บปวด แผลหายเร็วและทำได้ง่ายโดยไม่ต้องวางยาสลบ ฉะนั้นสุนัขพันธุ์ที่ต้องตัดหางหลังคลอดควรนำลูกสุนัขไปทำการตัดหางภาายในหนึ่งสัปดาห์หากจะตัดหางเองต้องทำในระยะไม่เกิน 7 วันลังคลอด โดยการบูรป่าลิบขนบริเวณหางที่ต้องการตัดออกให้ถึงผิวหนังแล้วทำความสะอาดด้วยการใช้แอลกอฮอล์ หรือทิงเจอร์ไอโอดีน ทาให้ทั่ว ต่อจากนั้นก็รูดผิวหนังขึ้นมาทางโคนหางแล้วใช้เชือกหรือยางรัดไว้ให้แน่นตรงข้อที่ 2 ของกระดูกโคนหาง ใช้กรรไกรที่ฆ่าเชื้อแล้วตัดตรงระหว่างข้อ ของกระดูกที่จะตัด แล้วแต้มด้วยทิงเจอร์ไอโอดีน ทิ้งไว้ 4-5 ชั่วโมง จึงค่อยเอาเชือกหรือยางรัดออกปล่อยให้แผลหาย โดยมากผิวหนังของหางที่รูดขึ้นไปก็จะรูดลงมาเอง หรืออาจจะเย็บปิดก็ได้ถ้าต้องการ 

                             


 การตัดหู

สุนัขบางพันธุ์นิยมตัดหู เช่น บ็อกเซอร์, โดเบอร์แมน, มินิเจอร์ พินเซอร์ และเกรท เดน ซึ่งก็ควรทำการตัดหูเมื่อลูกสุนัขอายุระหว่าง 12-14 สัปดาห์ เพราะขนาดโตพอที่จะทำการผาตัดได้ง่าย ทนต่อการวางยาสลบ หลังจากตัดแล้วหมอจะต้องดามหูไว้จนกว่าหูจะตั้งตรงตามต้องการ ซึ่งกินเวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ ระหว่างนี้เจ้าของจะต้องคอยดูและอยู่ให้สุนัขเกาแผลจนไไหมที่เย็บหลุด หรือแผลสกปรก เพราะจะทำให้รูปทรงของหูไม่เป็นไปตามต้องการ

                             


 การอาบน้ำ

          สุนัขก็เหมือนคนที่จะต้องดูแลรักษาความสะอาดและตกแต่งให้ดูสวย น่ารักอยู่เสมอ เนื่องมาจากมันไม่สามารถจะทำความสะอาดและเสริมสวยให้ กับตนเองได้ ผู้เลี้ยงจึงจะต้องทำหน้าที่ สนใจในตัวของมันเสมือนหนึ่งเป็นตัวของมันเองเลยทีเดียว การอาบน้ำต้องใช้แชมพู และสบู่ควบคู่ไปด้วย ควรเลือกซื้อแชมพูหรือไม่ก็สบู่ที่ผลิตขึ้นสำหรับใช้กับสุนัขเท่านั้น อย่านำแชมพูหรือสบู่ของคนมาใช้กับสุนัขโดยเด็ดขาด เพราะผิวหนังของสุนัขบางชนิดบอบบางมาก หากอาบน้ำด้วยแชมพูหรือสบู่ของคน จะทำให้มีปัญหาเรื่องขนแห้ง หยาบ และมีสะเก็ดรังแคขึ้นบนผิวหนัง บางตัวเป็นหนักถึงอาจจะขนร่วงไปเลยก็มี
         ปัจจุบันแชมพูสุนัขมีให้เลือกหลายสูตร มีทั้งแบบผสมครีมในตัว ประเภททูอินวัน หรือทรีอินวัน ชนิดที่มีสารฆ่าเห็บ ฆ่าหมัด เยอะแยะมากมายไปหมด ก่อนซื้อควรอ่านดูฉลากข้างขวดว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติอะไรบ้าง บรรจุเท่าใด หมดอายุวันไหน แล้วจึงเลือกซื้อมาใช้ให้ถูกกับลูกสุนัขของเรา
        



         :: วิธีอาบน้ำให้สุนัข :: 
อุปกรณ์ต้องเตรียม คือ แชมพูสำหรับสุนัข ผ้าเช็ดตัว อ่างน้ำ หรือสายยาง ที่ต่อจากก๊อกน้ำ เครื่องเป่าผม

            ขั้นตอนการอาบน้ำให้สุนัขทำได้ดังนี้ คือ   จับสุนัขให้อยู่ในอ่างนิ่งๆ โดยการจับที่ปลอกคอ เป็นไปได้ควรอุดหู   ทั้งสองข้าง ของสุนัขด้วยสำลีเพื่อป้องกันมิให้น้ำเข้าหู แล้วจึงค่อยเทน้ำลงบนตัวสุนัขให้ทั่วทั้งตัว ใช้แชมพูสุนัขเทลงบนตัวสุนัข แล้วจึงใช้มือถูนวดแชมพูให้ทั่วในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งยังจับปลอกคอสุนัขอยู่เพื่อจะให้มันอยู่นิ่งๆ  ล้างแชมพูที่ส่วนหัวของลูกสุนัขก่อน จากนั้นจึงล้างแชมพูที่ลำตัวให้สะอาด แล้วใช้ผ้าเช็ดให้แห้งทั้งตัว  เอาสำลีที่อุดหูออก แล้วเป่าขนให้แห้ง พร้อมกับแปรงขนให้ได้รูปทรงตามที่ต้องการ



 การแปรงและหวีขน

          สุนัขทุกพันธุ์ต้องการแปรงขนเหมือนกัน ไม่จำเป็นว่าสุนัขตัวนั้นจะ ต้องมีขนยาวเพียงเท่านั้น การแปรงหวีขน ของสุนัขบ่อยๆ นอกจากจะ ทำ ให้ขนสวย ขนไม่พันกันแล้ว ยังจะเป็นการทำความสะอาดตัวของสุนัขได้ เพราะเวลาเราแปรงขน สิ่งสกปรกจะถูกกำจัดออกมารวมทั้งบรรดาขนเก่า ที่หลุดออกมา นอกจากนั้นผิวหนังที่ได้รับการ กระตุ้นจากการ หวีหรือแปรงก็จะขับน้ำมันมาเคลือบขนสุนัขทำให้ขนนุ่ม และเป็นเงางาม โดยที่เราไม่ต้องเสียเงินไปซื้ออาหารเสริมมาให้มันกินให้สิ้นเปลืองเปล่า ๆ 
ควรฝึกหวี และแปรงขนสุนัขแต่เล็ก ๆ เพื่อจะได้เคยชินและยอมให้เรา เสริมสวยแต่โดยดี



                     
       เทคนิคการหวีและแปรงขนสุนัข
การแปรงขนสุนัขทุกวันจะทำให้สุนัขมีสุขภาพดี ขนเป็นเงางาม ไม่มีสิ่งสกปรกหมักหมมอยู่ ในขนสุนัข พันธุ์ขนยาว เช่น อาฟกัน ฮาวด์ ชิสุ ควรหวี ทุกวัน ส่วนสุนัขพันธุ์ขนสั้น เช่น บลูด็อก เกรดเดน แปรงขนเพียง2-3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ก็พอ ส่วนสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ลต้องใช้การตัดแต่งขน จะหวีให้ตรงแบบสุนัขพันธุ์อื่นไม่ได้
          

:: การหวีขนสุนัขพันธุ์ขนสั้น
อุปกรณ์ที่ใช้มีแปรงบิสเทิล แปรงหวีสลิดเกอร์ หวีตรง ขั้นตอนการหวี มีดังนี้
     - ใช้หวีแปรงสลิดเกอร์หวีก่อน เพื่อจำกัดเอาขนที่พันออกไม่ให้เกิดก้อน สังกะตัง ออกแรงหวีเพียง             เบาๆนุ่มๆ หวียาวๆ จากคอถึงลำตัวทำเช่นนี้ทั่วตัว
     - ใช้หวีบิสเทิลแปรง เพื่อเอาขนที่ตายแล้วและสิ่งสกปรกให้หลุดออกจากขนของสุนัขทั้งตัว
     - ใช้หวีตรง หวีบริเวณที่ยาว เช่น ส่วนของหาง เท้า ขา ถ้าพบว่าขนพันกันให้ใช้กรรไกรตัดออก         สุนัขจะได้ไม่เจ็บ


:: การหวีขนสุนัขที่สั้นเกรียน
อุปกรณ์ที่ใช้มี แปรงรับเบอร์ หนังชามัวร์ แปรงบิสเทิล
     - ใช้แปรงรับเบอร์ เพื่อแปรงย้อนขนสุนัขจะทำให้ขนตาย และสะเก็ด ผิวหนัง สิ่งสกปรกหลุดออกโดยง่าย
     - ใช้แปรงบิสเทิล แปรงขนตัวสุนัขอีกครั้งให้ทั่วทั้งตัว เพื่อเอาขนที่ตายและสะเก็ดออก
     - เช็คขนสุนัขด้วยหนังชามัวร์ เพื่อให้ขนเป็นมันเงางาม


:: การหวีขนสุนัขที่ขนตรงยาว
อุปกรณ์ที่ใช้มีแปรงสลิดเกอร์ แปรงบิสเทิล หวีตรง กรรไกร
     - ใช้แปรงสลิดเกอร์หวีขนก่อน เพื่อทำให้ขนที่พันกันอยู่คลายตัวออก
     - ใช้แปรงบิสเทิลหวีตามอีกครั้ง เพื่อทำให้ขนมันเงา และหวีง่ายขี้นไปอีก
     - ใช้หวีตรง หวีจัดให้ขนของสุนัขตกลงไปข้างลำตัว ด้านซ้ายและด้านขวาตามแนวขน
     - ใช้กรรไกรตัดแต่งบริเวณเท้าและหู เพื่อให้เป็นระเบียบเรียบร้อยดูสวยงาม

                             

 การดูแลหู

หูมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง สุนัขที่มีหูปกติจะต้องมีสีชมพูเรื่อๆ สะอาด ไม่มีกลิ่นผิดปกติ หูควรสะอาดไม่มีขี้หูมากจนเกินไป ไม่มีเห็บ หรือหมัด ไม่เป็นแผล หนอง สุนัขบางพันธุ์รวมทั้งพวกพุดเดิ้ล มักมีขนขึ้นที่บริเวณช่องหู ขนเหล่านี้จะเป็นตัวเพาะเชื้อโรค และหมักหมมส่งสกปรกทั้งหลายได้เป็นอย่างดี พวกหูยานก็เก็บสิ่งสกปรกต่าง ๆ ได้ง่ายจึงต้องหมั่นเอาใจใส่เช็ดถูสิ่งสกปรกในช่องหูออกให้หมด พวกหูตั้งนี้รักษาง่าย เพราะช่องหูสามารถถ่ายเทกับอากาศภายนอกได้โดยธรรมชาติ ฉะนั้นสิ่งสกปรกต่าง ๆ จึงไม่สามารถหมักหมมจนเกิดโรคได้มากนัก ถ้าหูสุนัขสกปรกมากก็ควรใช้สำลีหรือผ้านุ่มๆ เช็ดบริเวณใบหูและรูหูส่วนนอก ๆ เป็นประจำทางที่ดีหลังการอาบน้ำ เพราะสามารถตรวจสอบว่ามีน้ำหลงเหลือเข้าไปในรูหูหรือไม่ ถ้ามีจะได้เช็ดออกให้แห้ง เป็นการป้องกันหูอักเสบได้ด้วย แต่อย่าได้พยายามทำความสะอาดลึกเข้าไปในรูหูเป็นอันขาด บริเวณอ่อนไหวดังกล่าวควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแพทย์ 

                            

 การดูแลตา

ตาของสุนัขที่มีสุขภาพดีจะมีแววตาแจ่มใส ไม่ขุ่นมัวหรือมีสีแดง หรือมีขี้ตา รวมทั้งน้ำตาไหลเป็นคราบอยู่เสมอก็แสดงว่าต้องมีอะไรผิดปกติเข้าตา ถ้าเป็นโรคตาอักเสบธรรมดาเพราะผงเข้าตา ก็ควรใช้น้ำยาล้างตา 4-5 หยด ใส่เพื่อให้สิ่งสกปรกออกก่อน แล้วใช้ผ้าที่สะอาดเช็ดเบา ๆ รอบ ๆ ขอบตาออกได้ ถ้าเป็นมากกว่านี้ควรจะนำไปพบสัตวแพทย์สุนัขบางพันธุ์ เช่น พวกพุดเดิ้ล มักมีรอยด่างสีน้ำตาลที่ขนใต้ตาเสมอ ที่เป็นเช่นนี้เพราะขนบริเวณนั้นเปียกแฉะเนื่องจากหยาดน้ำตาของสุนัข คราบน้ำตานี้จะติดแน่นที่หัวตาย้อยลงมา การกำจัดรอยด่างนี้ทำได้โดยการหมั่นเช็ดถูให้บ่อยๆครั้งทุกวัน เพื่อให้ขนที่ติดคราบน้ำตานี้ค่อย ๆหลุดร่วงหมดไปสุนัขบางตัวตาแฉะ อาจจะเป็นเพราะขนตาขึ้นผิดปกติ แยงเข้าไปในลูกตา การรักษาอาการนี้ควรเป็นหน้าที่ของสัตวแพทย์ 

                             

 การดูแลฟัน 


โดยปกติแล้วสุนัขฟันผุได้ยากมาก แต่ที่เห็นบ่อยคือ เหงือกอักเสบ เกิดจากฟันสุนัขไม่สะอาด ขี้ฟันหมักหมมจนจับเป็นคราบสีเหลืองเกาะติดที่ผิวฟัน คือ หินปูนนั่นเอง บางทีหินปูนมีมากและลุกลามไปจนถึงเงือก ทำให้เหงือกอักเสบ มีกลิ่นปาก จนกระทั่งฟันหลุดไปในที่สุดวิธีป้องกันการจับตัวของหินปูน ควรให้สุนัขกินอาหารสำเร็จรูปที่เป็นเม็ดแห้ง หรือให้แทะกระดูกเสียบ้างเพื่อขัดฟัน แต่ถ้าจะให้ดีจริงๆ ควรให้สัตวแพทย์ตรวจฟันทุกปี สุนัขบางพันธุ์ก็มีการจัดเรียงตัวของฟันที่แย่มาก มีเหงือกเป็นหนองและฟันหลุดเสมอการให้แทะกระดูกไม่อาจช่วยได้เลย พวกนี้ต้องตรวจฟัน และทำความสะอาดเสมอโดยสัตวแพทย์ 

                            

 การดูแลเล็บ



เล็บสุนัขจะงอกจิกลงดิน มันจะสึกไปเองโดยธรรมชาติ แต่ถ้าเป็นสุนัขที่เลี้ยงบนพื้นไม้หรือพื้นซีเมนต์ มักจะพบปัญหาเล็บไม่สึก มีเล็บยาวเร็วกว่าปกติทำให้เดินไม่สะดวก และเมื่อทิ้งไว้นาน ๆ จะทำให้นิ้วคด หรือแยกห่างออกจากกัน บางทีก็ถอนหรือฉีกแตกจนเกิดหนองได้ จะทำให้สุนัขเจ็บปวดมากเวลาเดิน ฉะนั้นจึงต้องหมั่นตรวจดูแลตัดเล็บเท้าให้สั้นอยู่เสมอการตัดเล็บสุนัขควรใช้กรรไกรสำหรับการตัดโดยเฉพาะ จะทำได้โดยง่ายและปลอดภัย ได้รอยตัดที่กลมโค้ง การตัดควรตัดที่ปลายเพียงเล็กน้อย ระวังอย่าตัดให้ถูกปลายประสาทสีชมพูในเล๋บได้สุนัขที่มีเล็บดำไม่สามารถมองเห็นปลายประสาทนี้ได้ ฉะนั้นตัดเล็บจึงทำได้แค่คลิบปลายเพียงเล็กน้อย หรือตัดตรงตำแหน่งต่ำจากบริเวณที่มีเลือดมาเลี้ยงสัก 3มิลลิเมตร การตัดเล็บควรทำทุกเดือน โดยหลังการอาบน้ำ เพราะเล็บที่เปียกน้ำจะอ่อนตัดง่ายกว่าธรรมดา 




ที่มา http://members.tripod.com/dog_kingdom/take_care.htm

อยากเลี้ยงน้องหมาสักตัวต้องทำอย่างไร

ถ้าท่านคิดจะเลี้ยงสุนัขซักตัว ก่อนที่จะตัดสินใจนำสุนัขเข้าบ้าน ควรเตรียมการสิ่งต่าง ๆ ไว้ก่อนล่วงหน้า รวมถึงโรคติดต่อของสุนัขด้วย 



 เตรียมตัวเตรียมใจก่อนเลี้ยง

             เมื่อจะเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์ต่างประเทศซักตัวต้องเตรียมใจไว้ ต้องระลึกไว้เสมอว่าสุนัขไม่ใช่ของเล่น แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องให้ความรัก และความเอาใจใส่ดูแลอย่างดี สุนัขเคยมีความเป็นอยู่อย่างธรรมชาติ กิน  นอน ผสมพันธุ์กันตามธรรมชาติ มีกลุ่มเป็นของตนเอง มีสัญชาตญาณในการเชื่อฟังผู้นำเมื่อนำสุนัขมาเลี้ยงในบ้าน สุนัขจะคิดว่าครอบครัวนั้น คือกลุ่มของตนเอง และเจ้าของมันก็คือผู้นำ มันจึงยินดีที่จะทำตามคำสั่งของผู้นำตามสัญชาตญาณที่ติดตัวมา เจ้าของบ้านจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดูแลรับผิดชอบชีวิตสุนัขจนตลอดชีวิต ไม่ใช่ว่าเมื่อสภาพของสุนัขเปลี่ยนไป ไม่น่ารัก เป็นโรคร้ายแรง หรือมีขนาดใหญ่ขึ้นก็คิดที่จะนำไปทอดทิ้ง ปล่อยให้ไปอยู่ที่วัด ซึ่งการกระทำแบบนั้น เป็นการกระทำที่โหดร้ายทารุณ และยกโทษให้ไม่ได้ ดังนั้นถ้าคุณไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถเลี้ยงดูสุนัขได้ได้ตลอดรอดฝั่ง.....ก็ไม่ควรจะเลี้ยงสุนัข การเลี้ยงสุนัขจำเป็นจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคนในครอบครัวทุกคน ทุกคนจะต้องเห็นชอบและสนับสนุนให้เลี้ยงสุนัขได้ สุนัขจะรู้โดยสัญชาตญาณของมันว่าใครรัก ใครเกลียดมัน หากมีใครสักคนไม่ชอบมัน พยายามทำร้ายหรือกีดกัดมัน มันก็จะรู้สึกเจ็บปวดและแสดงอารมณ์ต่อต้านเป็นลูกโซ่ทำให้เกิดปัญหาครอบครัวตามมาระหว่างคนที่ชอบ และไม่ชอบมันนอกจากนี้การเลี้ยงสุนัขยังจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก สุนัขแต่ละพันธุ์จะสิ้นเปลืองค่าอาหาร ค่ายา ค่าดูแลรักษาไม่เหมือนกัน แต่อย่างน้อยคุณก็ต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากกว่าที่จะทำให้มันโตขึ้นเป็นสุนัขหนุ่มสาวที่ดี ซึ่งจะเปรียบเทียบไปแล้วก็เหมือนกับการเลี้ยงเด็กไว้คนหนึ่งทีเดียว





                            
 การเลือกสถานที่สำหรับเลี้ยงสุนัข 

เลี้ยงไว้ภายนอก

            สุนัขที่เหมาะจะเลี้ยงไว้ภายนอก คือ สุนัขขนาดใหญ่ หรือขนาดกลาง ถ้าเป็นสุนัขขนาดใหญ่ ควรมีกรงที่มีขนาดสมดุลกับตัวมัน และมีสถานที่กว้าง ๆ ให้ออกกำลังอย่างพอเพียง ไม่เช่นนั้นสุนัขจะพยายามหนีไปข้างนอก และอาจจะประสบอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิต




เลี้ยงไว้ภายในบ้าน

              ควรเป็นสุนัขขนาดเล็ก จะเหมาะสมที่สุด สุนัขขนาดใหญ่และขนาดกลางก็เลี้ยงได้แต่ต้องสร้างนิสัยตั้งแต่เล็กไม่ให้มันซน ให้มันสงบเสงี่ยม เรียบร้อย เชื่อฟังคำสั่ง และถ่ายเป็นที่เป็นทาง


เลี้ยงไว้ภายในแมนชั่น
              ต้องสร้างนิสัยให้มันตั้งแต่เล็ก ควรหาเวลาพามันออกไปข้างนอก ที่มีพื้นที่กว้างๆบ้างอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง เพื่อไม่ให้มันเครียดจนเกินไป
เลี้ยงไว้ในอาคารที่มีผนังติดต่อกัน   การเลี้ยงสุนัขในอพาร์เม้นท์ คอนโดมิเนียม ตึกแถว อาคารพาณิชย์ ทาวน์เฮ้าท์ เหล่านี้ควรระวังไม่ให้สุนัขไปรบกวนห้องข้างเคียง ไม่ควรแปรงขน หรือปล่อยให้มันขับถ่ายที่หน้าระเบียง จะทำให้ส่งกลิ่นเหม็นติดต่อไปยังห้องข้างเคียงได้


                            


 มาตรฐานในการเลี้ยงลูกสุนัข 


1. ควรเลือกลูกสุนัขที่มีอายุแรกเกิดถึง 2 เดือน ที่มีลักษณะภายนอกดีมีรูปร่างสมส่วน
2. สัมผัสและอุ้มดูก่อนเพื่อให้ทราบถึงสุขภาพอนามัย และนิสัยใจคอ
3. ลูกสุนัขที่ดีต้องแข็งแรงและชอบเคลื่อนไหว มีปฎิกิริยาดี และคล่องแคล่ว รวดเร็ว
4. เมื่อเรียกจะกระดิกหางเข้ามาหาทันที
5. ตาเป็นประกายมีชีวิตชีวา
6. ผิวสวย มีขนเป็นประกาย
7. เนื้อตัวแน่น น้ำหนักมากกว่าที่คิด
8. จมูกชื้น หูเย็น รูหูสะอาด รูก้นสะอาดและปิดสนิท
9. ไม่ควรเลือกสุนัขที่สกปรก และตื่นกลัวเวลาเรียก 

                             


 ความรู้ทั่วไปในการเลือกลูกสุนัข 


  • นิสัยใจคอ    เป็นสุนัขอารมณ์ดี เมื่อเรียกต้องกระดิกหางเข้ามาหา ชอบดมกลิ่น ชอบวิ่งออกกำลังกาย และชอบเล่นกับลูกสุนัขด้วย เล่นกับเด็กกับคนทั่วไป ลูกสุนัขที่ไม่ชอบเคลื่อนไหวจะมีนิสัยไม่กล้าหาญ และอาจเป็นโรค

  • หาง ดูว่ามีลักษณะตรงตามสายพันธุ์หรือไม่ สังเกตจากการกระดิกหางของมันด้วย

  • รูก้น ลูกสุนัขที่ดีรูก้นต้องปิดสนิท ไม่เอาก้นถูพื้นด้วยความคันบ่อยจนเกินไป

  • ขนหรือผิวขนต้องเป็นประกาย สะอาดในทุกๆที่ ขนที่หูและก้นไม่จับเป็นก้อน ไม่สกปรก ผิวหนังมีตุ่ม มีเห็บหมัด หรือมีรังแคมากเกินไป

  • ขา เมื่อลูกสุนัขยืนทั้ง 4 ขาเสมอกันหรือไม่ เดินเป๋ไปข้างหนึ่งข้างใดหรือไม่ อุ้งเท้าต้องสะอาด เล็บเท้าโค้งงอคล้ายหมาป่าหรือไม่

  • ตาลูกสุนัขที่ดีต้องมีความเป็นมัน เป็นประกาย มีชีวิต มีปฏิกิริยาโต้ตอบไว และมีสิ่งทีดี

  • จมูกควรจะดำ ชื้น และไม่มีน้ำมูกทั้งที่เป็นของเหลวและแห้งเกรอะกรัง

  • ปาก, ฟัน  ดูว่าปากเหม็นหรือไม่ สุนัขที่ดีปากท้องเป็นสีชมพู มีฟันครบ และเรียงเป็นระเบียบ

  • รูปร่าง

  • กระดูกแน่น มีกล้ามเนื้อและมีน้ำหนักมากกว่าที่คิด





ที่มา http://members.tripod.com/dog_kingdom/advice.htm

สุนัขก็เป็นเน็ตไอดอลได้


               ใครบออกว่าคนเป็นเน็ทไอดอลได้เพียงอย่างเดียวล่ะ  เดี๋ยวนี้น้องหมาก็เป็นเน็ทไอดอลได้กันแล้ว  ด้วยความน่ารัก และความโด่ดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของน้องหมาทำให้มีผู้ติดตามมากไม่แพ้เน็ทไอดอลที่เป็นคนเลย



 บู (BOO) หมาน้อยตุ๊กตา




         น่ารักสุดๆ สำหรับสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียน เพศเมีย ชื่อว่า “บู” (Boo) เกิดวันที่ 6 มีนาคม 2549 มีเฟซบุ๊กส่วนตัว มีแฟนคลับหลงรัก กดถูกใจปาเข้าไป 11 ล้านคน สุนัขตัวนี้เป็นของสตรีชาวอเมริกันคนหนึ่ง อาศัยอยู่ที่ประเทศอังกฤษ บูชอบสีชมพู ชอบกินเนื้อไก่ ชีส สไตล์การแต่งตัว บูจะสวมเสื้อเชิ้ตในวันว่างที่มีอากาศอุ่นๆ กำลังสบาย แต่ถ้าต้องออกข้างนอกตอนแดดจ้าๆ จะสวมแว่นกันแดดด้วย เรื่องราวความโด่งดังของบู เกิดจากเจ้าของนึกสนุก โพสต์รูปบูลงในเฟซบุ๊ก แต่ด้วยความสดใส ร่าเริง และทรงผมที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้เจ้าปอมเมอเรเนียนตัวนี้ โดดเด่น มีคนมาหลงรัก มีรายการโทรทัศน์มากมายติดต่อไปโชว์ตัว กลายเป็นสุนัขดังแบบฉุดไม่อยู่แล้ว
















 “กลูต้า” จากสุนัขจรจัด สู่ดาราดัง


กลูต้า อดีตสุนัขข้างถนน เคยป่วยเป็นโรคมากมาย ทั้งขี้เรื้อน มดลูกอักเสบ มะเร็งปากมดลูก โรคผิวหนัง แต่ตอนนี้ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี จาก คุณยอร์ช ที่เจอกลูต้าโดยบังเอิญ จากการดูแลของคุณยอร์ช ทำให้กลูต้าที่เคยเป็นสุนัขสภาพสุดโทรม กลายเป็นสุนัขที่มีสุขภาพแข็งแรงขึ้น มีรอยยิ้ม ชอบทำตาหวาน น่ารักน่าเอ็นดู ซึ่งเรื่องราวของกลูต้าถูกถ่ายทอดผ่าน www.facebook.com/GlutaStory มีคนติดตามอยู่เกือบ 60,000 คน


















 “โยเกิร์ต” สุนัขตาเดียว





โยเกิร์ต สุนัขสายพันธุ์ชิวาวา เพศเมีย อายุ 6 ปี อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ โยเกิร์ตมีดวงตาข้างซ้ายด้านเดียว หลังจากตาขวาบอดปิดสนิท และจะแลบลิ้นออกมาตลอดเวลา เพราะปากบนฝั่งซ้ายไม่มีฟัน เก็บลิ้นไม่ได้ สาเหตุที่ถูกยกให้เป็นซุป’ตาร์ตัวน้อย นั่นคือ ความน่ารักบนใบหน้าของโยเกิร์ต ที่ใครได้เห็นก็ต้องหลงรัก บวกกับความสดใสร่าเริง ยิ่งทำให้ผู้ที่พบเห็นมีความสุขทุกครั้ง คนรักสัตว์ที่อยากจะตามติด “โยเกิร์ต” สามารถติดตามกันได้ที่ instagram.com/yogurt_thepirate ตอนนี้มีคนติดตามในอินสตาแกรม 70,000 กว่าคนแล้ว








ทูน่า สุนัขฟันเหยิน 




           ทูน่า สุนัขพันธุ์ผสม ดัชชุนด์-ชิวาวา หรือที่เรียกว่า ชิวีนี่ กลายเป็นขวัญใจของคนรักสุนัขและแมวทั่วโลกในเวลาไม่นาน ทูน่า มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร คือ ฟันเหยิน นั่นเพราะขากรรไกรล่างสั้นกว่าขากรรไกรบน ทำให้ดูเหมือนว่าฟันเหยินตลอดเวลา ทูน่า เป็นสุนัขที่ถูกทิ้งในเมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา มีชาวสวนคนหนึ่งนำไปเลี้ยง แล้วขายต่อให้กับ “คอร์ตนีย์ แดชเชอร์” เจ้าของคนปัจจุบัน เจ้าของทูน่า ดูแลและเลี้ยงสุนัขตัวนี้เป็นอย่างดี และมักถ่ายรูปน่ารักๆ ลงในอินเตอร์เน็ต จนเริ่มได้รับความสนใจ ต่อมาเลยโด่งดัง ล่าสุดเดือนมีนาคม 2557 มีคนติดตามผ่านอินสตาแกรมเกือบ 800,000 คนแล้ว ติดตามความน่ารักของทูน่า http://instagram.com/tunameltsmyheart




 แคสเปอร์ สุนัขไซซ์บิ๊ก





            “แคสเปอร์” สุนัขเพศผู้ พันธุ์ซามอยด์ ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่เกือบจะเท่าคน และดวงตากลมโตบ้องแบ๊ว ขนสีขาวจั๊วะ จึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะเข้ามายึดพื้นที่ในหัวใจของคนรักสัตว์ เจ้าของ “แคสเปอร์” มีนามว่า สตีเวน แม็คคินสัน หนุ่มน้อยนักศึกษาชาวสกอตแลนด์ ความโด่งดังของแคสเปอร์ มาจากสตีเวนชอบการถ่ายภาพ และได้โพสต์ภาพนิ่งวิดีโอ ความน่ารักในอิริยาบถต่างๆ ระหว่างเขากับเจ้าแคสเปอร์ลงในเว็บบล็อกส่วนตัว จนมีแฟนคลับมาติดตามความเคลื่อนไหวของคู่ซี้ทั้งสองเยอะมาก ด้านค่าตัวของสุนัขพันธุ์ซามอยด์ ถ้าจะนำเข้าเมืองไทย ราคาประมาณ 400,000-1 ล้านบาท






ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.girlsallaround.com

เลือกอาหารให้เหมาะกับวัย

             การเลือกอาหารให้เหมาะสมกับสุนัขของคุณ ถือว่ามีความสำคัณมากอย่างยิ่ง เพราะถ้าหากคุณเลือกอาหารให้ผิดหรือไม่เหมาะสมกับช่วงวัยของสุนัขของคุณ อาจจะทำให้ป่วยหรือมีอาการผิดปกติไปจากเดิมได้ เช่นการเลือกอาหารให้แม่สุนัขที่กำลังตั้งท้องควรเลือกอย่างไรให้ถูกต้อง



อาหารแม่สุนัขท้อง

             อาหารที่ใช้เลี่ยงแม่สุนัขกำลังตั้งท้องนั้น ต้องให้ได้สัดส่วนที่ถูกต้อง เป็นอาหารที่มีคุณภาพสูง โปรตีนมาก   ไขมันน้อย ถ้าให้อาหารไม่ถูกต้อง ไม่ได้สัดส่วน จะทำให้แม่สุนัขมีลูกน้อยตัวและตายมากอาหารที่ให้จะต้องไม่รบกวนระบบย่อย   ซึ่งทำให้ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ หรือท้องร่วง อาหารที่ควรให้แก่แม่สุนัข ได้แก่ เกาเหลาเนื้อเปื่อย เนื้อสด เนื้อปลา น้ำนม ผักสด เป็นต้น ไม่ควรให้ข้าว หรือถั่ว หรือมันเทศ มันฝรั่งซึ่งเป็นอาหารที่มีแป้งมาก เพราะจะทำให้แม่สุนัขอ้วน  ถ้าเป็นสุนัขเคยกินอาหารปนรำก็อาจจะให้รำละเอียดได้บ้างเพียงเล็กน้อย เพื่อช่วยไม่ให้ท้องผูก ขนาดและปริมาณอาหารที่ให้ในระยะ 6 สัปดาห์แรกของการตั้งท้อง พอๆ กับใช้เลี้ยงสุนัขโตเต็มวัยปกติ และเมื่ออีกประมาณ 11 วันจะคลอดควรให้โปรตีน เช่น เนื้อหรือ ปลา แต่อย่างเดียว  เพื่อเพิ่มปริมาณโปรตีนอีก 20 % แต่ถ้าเห็นว่าแม่สุนัขผอมมากก็ควรเพิ่มอาหาร 20-30 % ก่อนที่สุนัขจะคลอดในระยะ 3-4 สัปดาห์ข้างหน้า ก่อนคลอด 1-2 วัน แม่สุนัขบางตัวจะไม่ยอมกินอาหารหรือไม่ค่อยกิน เพราะมัวแต่สาละวนอยู่กับรังคลอด หรือสถานที่คลอดลูก ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ หลังคลอดแล้วก็จะหากินเองได้ที่ต้องระวังก็คืออย่าให้สุนัขกินมากจนอ้วนเกินไป  ทำให้การคลอดยากหรือให้อาหารน้อยจนเกินไปไม่มีแรงเบ่งลูก 

                            


 อาหารแม่สุนัขลูกอ่อน

                  อาหารที่ใช้เลี้ยงนี้มันยังถ่ายทอดไปให้ลูกสุนัขด้วย ดังนั้น ช่วงที่ลูกสุนัขกินนม ควรให้อาหารเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าของอาหารที่เคยให้ตามปกติ จนลูกสุนัข3-4 สัปดาห์ นอกจากนี้ ในอาหารควรจะต้องเพิ่มแร่ธาตุ โดยเฉพาะแคลเซี่ยมและฟอสฟอรัส เพราะขณะที่แม่สุนัขให้นมทำให้ถูกดึงจากร่างกายไปยังน้ำนม ทำให้ระดับแคลเซี่ยมในร่ายกายต่ำ แม่สุนัขอาจจะมีอาการไข้น้ำนม คือแสดงอาการชัก เกร็ง น้ำลายไหลยืด ดังนั้น ควรหาทางป้องกันโดยการเพิ่มแคลเซี่ยม  ในอาหารตามความจำเป็น หลังจากสัปดาห์ที่ 5 เป็นต้นไป ลูกสุนัขก็จะเริ่มกินอาหารแข็ง และกินน้ำนมลดลง  แม่สุนัขก็ควรกินอาหารลดลงด้วยในวันที่ 2-4 ให้อาหารน้อยลงกว่าที่ให้  ของอาหารที่ให้ตามปกติตามลำดับ และวันที่ 5 ก็ให้อาหารตามปกติ การลดอาหารแล้วมาเพิ่มจะทำให้แม่สุนัขผลิตน้ำนมลดลง และช่วยรักษาเต้านมในสภาพที่สมบูรณ์

                             




 อาหารสุนัขหย่านม



                  ลูกสุนัขหย่านมเมื่ออายุประมาณ 4-6 สัปดาห์ แต่ลูกสุนัขจะเริ่มกินอาการได้แล้วเมื่ออายุ 3-4 สัปดาห์อาหารที่เหมาะสมสำหรับลูกสุนัขหย่านมใหม่ ๆ นี้ ใช้สูตรเดียวกับสูตรอาหารสำหรับแม่สุนัขกำลังเลี้ยงลูก เพราะสุนัขทั้งสองวัยต่างต้องการ ธาตุแคลเซี่ยมและฟอสฟอรัส รวมทั้ง วิตามินในอัตราที่สูง เพื่อนำไปสร้างเสริมกระดูกในลูกสุนัขและทดแทนส่วนที่เสียไปกับนมแม่ นอกจากนี้ยังต้องการปริมาณโปรีตีนที่สูงด้วย ดังนั้น สูตรอาหารสำหรับลูกสุนัขกำลังหย่านมและแม่สุนัขในช่วงนี้ ควรใช่สูตร เนื้อสัตว์บด 55 ส่วน ข้าว 23 ส่วน ผัก 8 ส่วน ไขมัน 6 ส่วน วิตามินและเกลือแร่ 3 ส่วน สุนัขขนาดกลางเช่น เซตเตอร์ เมื่ออายุ 5 -6 สัปดาห์ จะกินอาหารประมาณ 3-4 % ของน้ำหนักตัว สำหรับแม่สุนัขก็ให้กินมากกว่าปกติ 2-3 เท่าทั้งนี้ขึ้นกับปริมาณลกสุนัขที่ต้องเลี้ยง ลูกมากก็กินมาก ลูกน้อยก็กินน้อย สำหรับเวลาที่เหมาะสมควรให้ลูกสุนัขวันละ 3 เวลาจนอายุ 3 เดือนต่อจากนั้นจึงให้วันละ 2 เวลา จนถึงอายุ 8-9 เดือนจึงให้วันละมื้อก็ได้ แต่ต้องมีอาหารพอกิน 24 ชั่วโมง 

                            


 อาหารลูกสุนัขหลังคลอด




                    ควรให้ลูกสุนัขกินน้ำนมแม่หลังคลอดเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เพื่อให้ได้รับ " น้ำนมเหลือง " ซึ่งมีโปรตีน วิตามิน ธาตุเหล็ก แต่มีน้ำตาลแล็กโต๊สน้อยกว่าน้ำนมปกติ นอกจากนี้ยังมีแอนติบอดี้ สำหรับการป้องกันโรคต่าง ๆ ด้วย คุณสมบัติของนมน้ำเหลืองนี้จะหายไปหลังคลอด 2-3 วัน แต่ถ้าแม่สุนัขไม่มีน้ำนมหรือเต้านมเกิดอักเสบ ก็ควรนำลูกสุนัขไปฝากแม่สุนัขที่มีน้ำนมตัวอื่นแทน หรือให้อาหารอื่นแทนสำหรับลูกสุนัขครอกใหญ่เกินไป น้ำนมแม่อาจจะไม่พอกิน ก็ควรเพิ่มน้ำนมโค หรืออาจจะให้อาหารสำหรับลูกสุนัขกำพร้ากิน  มิฉะนั้นแม่สุนัขจะมีสภาพทรุดโทรม และอาจจะเป็นอันตรายได้ น้ำนมที่เพิ่มให้นี้ควรให้เมื่อลูกสุนัขอายุได้ 3 สัปดาห์ โดยใส่น้ำนมในจานตื้น ๆ แล้วจับลูกสุนัขจุ่มปากลงในจานน้ำนม จนลุกสุนัขหัดกินเองได้ 








ขอบคุณข้อมูลจาก
http://members.tripod.com/dog_kingdom/food.htm